เวลา 10.00 น. วันที่ 5 ม.ค. 67 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พานายบุญชายและผู้เสียหายรวม 4 คน เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)เพื่อร้องทุกข์หลังถูกหลอกผ่านเพจเฟซบุ๊กให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรดหุ้นจนสูญเงินรวมกว่า 20 ล้านบาท โดยนำหลักฐานการโอนเงินและข้อมูลการติดต่อ มามอบให้กับพนักงานสอบสวนประกอบการพิจารณา
นายบุญชาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้พบเห็นเพจเฟซบุ๊กหนึ่งโพสต์ชักชวนให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรดหุ้น อ้างผลตอบแทนสูง จึงเกิดความสนใจติดต่อไป จากนั้นก็ถูกดึงเข้ากลุ่มแอพพลิเคชั่นไลน์ ก่อนจะมีหน้าม้าเข้ามาคอยให้คำปรึกษาแนะนำ สอนวิธีการดูกราฟต่างๆ รวมไปถึงสาธิตการเข้าใช้แพลตฟอร์มหุ้นที่สร้างขึ้นมาให้ดูน่าเชื่อถือ พร้อมทำทีแนะนำให้ลงทุนหุ้นประเภทต่างๆ จึงหลงเชื่อลงทุนครั้งแรกเป็นเงินล้านกว่าบาท ประกอบกับเห็นว่ามีตัวเลขยอดเงินขึ้นในระบบแพลตฟอร์ม รวมถึงเห็นว่าได้เงินกำไรกลับมาจริง จึงลงทุนเพิ่มเรื่อยมารวมเป็นเงินกว่า 15 ล้านบาท แต่เมื่อถึงกำหนดจะถอนเงินลงทุนคืน กลับไม่สามารถทำได้ ถูกบ่ายเบี่ยงอ้างติดปัญหาต่างๆ จึงเอะใจตรวจสอบจนทราบว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกเงิน จึงตัดสินใจร้องเพจจ่าคิงส์ สะพานใหม่ เข้าช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ยังีผู้เสียหายที่เป็นกลุ่มอดีตข้าราชการที่เกษียณอายุไปแล้วอีกหลายคน ตกเป็นเหยื่อถูกขบวนการดังกล่าว หลอกให้นำเงินมาร่วมลงทุนลักษณะเดียวกันจนสูญเงินอีกกว่า 5 ล้านบาท เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีการลงทุนอยู่จริง อีกทั้งในวันนี้ยังได้พาพยานบุคคลที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูล เพราะหากปล่อยไว้อาจมีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มอีกได้ในอนาคต
นายสมชาย ผู้เสียหายอีกรายถูกอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าชักชวนผ่านไลน์ลงทุนซื้อขายสินค้า ตรวจสอบแล้วน่าเชื่อถือจึงลงเงินทุนด้วยเริ่มจากหลักพันได้กำไรหลายร้อย จึงเพิ่มเงินเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายเสียเงินไปกว่า 5 แสนบาท แต่ถอนเงินออกไม่ได้อ้างว่าป้อนรหัสผิด ต้องโอนเงินอีก จึงเชื่อว่าถูกฉ้อโกง
ด้าน นายเอ พยาน เล่าว่า ก่อนหน้านี้อดีตแฟนสาวของตนเคยไปทำงานอยู่กับขบวนการดังกล่าว ซึ่งมีฐานที่ตั้งหรือสำนักงานอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมยืนยันว่า ธุรกิจการลงทุนหุ้นตามที่แก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้กล่าวอ้างนั้นไม่มีอยู่จริง แท้จริงแล้วเป็นเพียงกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเงินเหยื่อด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ
“รวมถึงยังมีพฤติกรรมหลอกคนไทยไปทำงานบังคับให้เป็นคนโทรไปหลอกลวงเงินเหยื่อ หากใครทำยอดไม่ได้ตามเป้าจะถูกทำร้าย บ้างก็ขายต่อให้ขบวนการอื่นคล้ายกับทาส บางรายหนักถึงขั้นขายอวัยวะ ตนเห็นว่าข้อมูลที่ตนรู้น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคม จึงตัดสินใจออกมาเข้าพบตำรวจในวันนี้เพื่อจะได้เร่งกวาดล้างขบวนการดังกล่าวให้สิ้นซากต่อไป” พยานบุคคลกล่าวทิ้งท้าย
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้องและพยานทั้งหมด พบว่าผู้เสียหายส่วนใหญ่แจ้งความท้องที่มาแล้ว รวมทั้งแจ้งความออนไลน์ ก่อนจะประสานเจ้าหน้าที่ เร่งรัดให้ความช่วยเหลือด้านคดีต่อไป