เป็นกระแสขึ้นมาทันทีในโลกโซเชี่ยล เมื่อหนุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ค รายหนึ่งได้โพสต์ข้อความว่า เพื่อนของเขาซื้อบ้านในราคา 12.9 ล้านบาท และจากเอกสารก่อนปรับดอกเบี้ยครั้งล่าสุด ที่ดอกเบี้ย MRR 8.350% พบว่า หากเพื่อนผ่อนบ้านโดยที่ไม่โปะเลย จะจ่ายค่าบ้านรวมดอกเบี้ยที่ 33.1 ล้านบาท เท่ากับว่าจะต้องจ่ายค่าบ้านเกือบ 3 เท่าจากราคาบ้านที่กู้มา
หนุ่มคนนี้ได้ตั้งคำถามว่า ทำแบบนี้ถือว่าธนาคารเอาเปรียบเกินไปหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้นแค่ 0.25% แต่ดอกเบี้ยเงินกู้กลับสูงลิบ และมีการยัดเยียดให้พนักงานขายสินค้าประกันชีวิตให้ลูกค้า จึงจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าปกติ ตนมองว่าเป็นการหลอกล่อลูกค้าเกินไป
พร้อมฝากไปถึงรัฐบาลใหม่ ให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ประชาชนด้วย เพราะได้รับผลกระทบเป็นกว้างมาก และจะมีกี่คนในประเทศนี้ที่สามารถซื้อบ้านเงินสด ถ้าไม่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดก็ทุนสีเทาทั้งนั้น ที่มีเงินสดเกิน 1 ล้านบาท ทุกวันนี้ซื้อคอนโดยังแทบไม่ได้เลย บ้านเดี่ยวหลังเล็ก ๆ ราคาก็ 4-5 ล้านบาทไปแล้ว ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นขนาดนี้ ประชาชนไม่ต้องใช้ชีวิตหรอก แค่จ่ายค่าบ้านและค่าอื่น ๆ ก็แทบจะตายอยู่แล้ว
ผู้โพสต์ ยังระบุอีกว่า ดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ประชาชนต้องรับภาระมาก เพราะตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่มีแบบดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แล้ว นั่นหมายความว่า ในวันที่กู้นั้น สมมุติในสัญญาระบุว่าได้รับ MRR -2.00 และเท่ากับว่า ณ วันที่กู้ คุณได้ดอกเบี้ย MRR 3.8% แต่หากธนาคารแห่งประเทศไทย มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก ก็ให้เอาดอกเบี้ยใหม่ ไปลบกับ -2.00 ซึ่งอาจหมายความว่า ในอนาคตคุณต้องจ่ายดอกเบี้ย 4.5% ก็เป็นได้ และเมื่อทำแบบนี้ แม้จะจ่ายเงินต้นเท่าเดิม แต่ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น
หลังเรื่องนี้ได้ถูกแชร์ออกไป มีคนเข้ามาวิจารณ์เป็นจำนวนมาก โดยเจ้าของโพสต์ ได้โพสต์เพิ่มเติมว่า
“ไม่ได้ต้องการบ่นหรือโวยวาย มันคือการตั้งคำถามจากคนที่ไม่รู้”
ทั้งนี้ สำหรับการกู้ซื้อบ้านนั้น ดอกเบี้ยมักจะคิดเป็นแบบลดต้นลดดอก (ต่างกับการกู้ซื้อรถที่แม้จะโปะแต่ดอกเบี้ยจะลดไม่มาก) ยิ่งพยายามโปะมากเท่าไร เงินต้นก็ยิ่งลด ดอกเบี้ยก็ยิ่งลดตามไปด้วย แต่หากจ่ายเงินเฉพาะแค่ค่างวดขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนดไว้ เมื่อผ่อนครบก็ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน 2-3 เท่ามากกว่าราคาบ้านที่กู้มาอยู่แล้ว
เช่น กู้บ้าน 2,000,000 บาท ดอกเบี้ย 5% = ภายใน 1 ปีจะเสียดอกเบี้ย 2,000,000×5% = 100,000 บาท
ดอกเบี้ย 100,000/365 วัน = 273 บาท
เท่ากับว่าทุกวันที่คุณยังติดหนี้ธนาคาร คุณต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคาร 273 บาท
เมื่อครบกำหนด 1 เดือน คุณต้องจ่ายดอกเบี้ย 273×30 =8,190 บาท
ในกรณีที่ธนาคารให้คุณจ่ายค่างวด งวดละ 11,500 บาท ก็เท่ากับว่า คุณจ่ายดอกเบี้ย 8,190 บาท และจ่ายเงินต้นเพียง 3,310 บาท
แต่เนื่องจากวิธีการคิดดอกเบี้ยบ้านเป็นแบบลดต้นลดดอก หมายความว่า ในการคิดคำนวณในครั้งต่อไป จะไม่ใช่ 2,000,000 เป็นตัวตั้ง แต่จะใช้ ยอดครั้งก่อน – เงินต้นที่จ่าย (2,000,000-3,310=1,996,690 บาท)
นั่นแสดงว่า ยิ่งพยายามโปะเงินมากเท่าไร ยิ่งทำให้ดอกเบี้ยบ้านถูกลงมากเท่านั้น เพราะเงินที่จ่ายเกินงวดแต่ละครั้งจะถูกนำไปตัดต้น และทำให้เราผ่อนเบาตัวขึ้น ปิดงวดได้ไว โดยหลักการคิดแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า ยิ่งเวลาผ่านไป มูลค่าบ้านยิ่งสูง ต่างกับการคิดดอกเบี้ยรถยนต์ ที่ยิ่งเวลาผ่านไป มูลค่ารถยิ่งลดลง