นายณัฐพล อายุ 21 ปี น.ส.วิยะดา อายุ 22 ปี และนางญาณิกา อายุ 32 ปี พี่สาวของนายณัฐพล เดินทางมาร้องเรียนกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกรถเก๋งเสียหลักจากการถูกรถทัวร์ชนท้ายแล้วรถเก๋งพุ่งชนขณะทั้งคู่ขี่มอเตอร์ไซต์มาตามปกติได้รับบาดเจ็บสาหัส ตามปรากฎในภาพวงจรปิด เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา บริเวณถนนสายอุทัย-ภาชี อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่คดีผ่านมาหลายเดือนกลับไม่มีความคืบหน้า จึงมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับนายเอกภพในวันนี้
โดย น.ส.วิยะดา ระบุทั้งน้ำตาว่า ในคืนวันเกิดเหตุ ตนพร้อมนายณัฐพลซึ่งเป็นแฟนหนุ่ม กำลังขี่รถมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้าไปทำงานที่โรงงาน แต่อยู่ดี ๆ ก็มีรถเก๋งเสียหลักข้ามมาอีกฝั่งชนรถมอเตอร์ไซต์ของตน โดยแฟนนหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัส มีอาการตับแตก ตับอ่อนแตก สะโพกได้รับผลกระทบ ปอดช้ำ แขนขาหักต้องใส่เหล็ก และไม่สามารถเดินเหินได้สะดวก ส่วนตนมีอาการไตช้ำ ตับช้ำ เลือดคั่งในสมอง และขาหักต้องใส่เหล็กดาม และไม่สามารถเดินเหินได้เช่นเดียวกัน
ด้านนางญาณิกา กล่าวว่า จากภาพวงจรปิดจะเห็นได้ชัดว่า ทั้งฝั่งรถบัสและรถเก๋งต่างขับขี่มาด้วยความประมาทและแข่งกันมาตลอดทาง ก่อนที่รถทัวร์จะชนท้ายรถเก๋งและเสียหลักชนรถมอเตอร์ไซค์ของน้องชายและแฟน หลังเกิดเหตุ ได้แจ้งความที่ สภ.อุทัย ซึ่งช่วงแรกพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและดำเนินการออกหมายเรียกทั้งฝั่งรถบัสและรถเก๋งมา แต่มีเพียงฝั่งรถบัสเท่านั้นที่เข้ามาพบพนักงานสอบสวน ส่วนฝั่งรถเก๋งกลับไม่เข้ามาพบตำรวจแต่อย่างใด มีเพียงการพูดคุยทางโทรศัพท์ ซึ่งฝั่งรถเก๋งก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดและปัดความรับผิดชอบ อีกทั้งพบว่า ฝั่งรถเก๋งไม่มี พ.ร.บ. และมีประกันรถยนต์ด้วย
เมื่อพยายามติดตามความคืบหน้าทางคดีกับตำรวจมากขึ้น ปรากฏว่าถูกพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีนิ่งเฉย อ้างว่าย้ายไป สภ.อื่นแล้ว ให้พนักงานสอบสวนคนอื่นรับผิดชอบคดีแทนและไม่รับสายโทรศัพท์อีกเลย รวมทั้งเพิกเฉยที่จะออกหมายจับฝั่งรถเก๋งที่ไม่ยอมมาตามหมายเรียก อีกทั้งตนได้รับข้อมูลจากชาวบ้านว่า ฝั่งรถเก๋งเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ภายในพื้นที่ มีการส่งผู้ใหญ่มาเคลียร์คดี ในขณะที่ฝั่งรถบัสก็ปัดความรับผิดชอบ อ้างว่าต้องให้รถเก๋งมารับผิดด้วยและให้เงินจำนวน 15,000 บาทเท่านั้น แต่ก็ยังไม่พอกับค่าสินไหมทดแทนและค่ารักษาพยาบาลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
โดยทั้งสองคนต้องรักษาแรมเดือน เสียค่ารักษาพยาบาลมากกว่าล้านบาท มีเพียงแต่ค่ารักษาพยาบาลจาก พ.ร.บ. และประกันสังคม หนำซ้ำทั้งสองคนถูกให้ออกจากงาน เนื่องจากพักรักษาตัวเกินระยะเวลาที่บริษัทกำหนด จึงทำให้ทั้งสองไม่มีรายได้ ทำได้แต่เพียงขายเกี๊ยวพอประทังชีวิตและครอบครัวต้องส่งเงินมาเลี้ยงดู ทั้ง ๆ ที่คนในครอบครัวหลายคนก็สูงอายุและไม่ได้มีงานทำมีรายได้อะไรมาก
ตนในฐานะเป็นพี่สาวรู้สึกสงสารน้องชายและแฟนสาวอย่างมาก เพราะปีหน้าทั้งคู่มีแพลนจะแต่งงานกันโดยการมาทำงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เพื่อเก็บเงินแต่งงานและสร้างอนาคต แต่กลายเป็นว่าทั้งสองคนต้องหมดอนาคต อีกทั้งทั้งคู่ตั้งใจที่จะเก็บเงินไปรักษาปู่ของ น.ส.วิยะดา ที่เป็นโรคไต จึงอยากขอความเห็นใจและขอความเป็นธรรมให้ทั้งฝั่งรถบัสและรถเก๋งมารับผิดชอบเยียวยาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งขอความเป็นธรรมให้ตำรวจเร่งรัดรับผิดชอบกับคดีนี้
ด้านนายเอกภพระบุว่า คดีนี้พยานหลักฐานภาพวงจรปิดก็ชี้ชัดแล้วว่า ฝั่งรถบัสและรถเก๋งต่างร่วมกันประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ จะต้องรับผิดชอบเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นและพนักงานสอบสวนก็สามารถแจ้งข้อหาทั้งสองคนได้ แต่กลับไม่ดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ดำเนินการประสานไปยัง พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ดำเนินการเร่งรัดสำนวนกับทางพนักงานสอบสวน สภ.อุทัยแล้ว ซึ่งล่าสุด พนักงานสอบสวนที่เคยเป็นเจ้าของคดีระบุกับทีมงานสายไหมต้องรอดว่า กำลังรีบนำสำนวนคดีไปส่งแก่ รอง ผกก. สอบสวน สภ.อุทัย เพื่อเร่งดำเนินการออกหมายจับฝั่งรถเก๋ง เนื่องจากไม่มาตามหมายเรียก