วันที่ 3 ก.ย.67 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. และนายจักรกฤษณ์ ตันเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นำลังเปิดปฏิบัติการทลายเครือข่าย “เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับส่วยรถบรรทุก” เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 11 จุด ทั่วประเทศ ในพื้นทีี่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ชัยภูมิ จ.เพชรบูรณ์ จ.นครปฐม จ.ชลบุรี จ.เชียงใหม่ และ กรุงเทพมหานคร
จากปฏิบัติการดังกล่า วเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาคนสำคัญในขบวนการ ได้จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายนพดล ตำแหน่งนายช่างเครื่องกลอาวุโส สถานีตรวจสอบน้ำหนักอุบลราชธานี กรมทางหลวง 2.นายอเนก นายช่างเครื่องกลชำนาญงาน สถานีตรวจสอบน้ำหนักด่านขุนทดจังหวัดนครราชสีมา และ 3. นายธงชัย พลเรือน ทำหน้าคอยช่วยเจ้าหน้าที่ ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ใน 3 ข้อหา ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมเชิญตัว นายประทิน เจ้าของบัญชีธนาคารมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยเช่นเดียวกัน
สืบเนื่องจากเมื่อกลางปี 2566 ได้มีกลุ่มผู้ประกอบการ ยื่นเรื่องร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ หลังถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง ร่วมกับพลเรือน เรียกเก็บส่วย รถเครน และ รถบรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้ นายเศรษฐี ทวีสิน ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ และ แก้ไข
หลังรับเรื่องเจ้าหน้าที่จึงเร่งสืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบข้อมูลสำคัญว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ (สคน.) หน่วยงานในสังกัดของกรมทางหลวง ซึ่งมีหน้าที่สืบสวนจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินที่วิ่งบนทางหลวง แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่ในการเป็นชุดเฉพาะกิจ เรียกเก็บเงินส่วยรายเดือนจากผู้ประกอบการเพื่อแลกกับการไม่จับกุมดำเนินคดี โดยมี นายธงชัย ที่เป็นพลเรือน คอยทำหน้าที่เข้าไปเจรจาเรียกรับเงินแทน หากผู้ประกอบการรายใด ไม่ทำตามข้อเรียกร้องก็จะถูกกวดขันจับกุมอย่างหนักจนกระทบต่อกิจการ โดยทำเช่นนี้มานานหลายปี ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการตกเป็นเหยื่อกว่า 30 ราย มีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็ก ที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง โดยแต่ละรายจะต้องจ่ายส่วยรายเดือน ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนบาท มีเงินส่วยหมุนเวียนตกเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้มาจะถูกโอนเข้าไปยังบัญชีม้า ที่เปิดโดยนายประทิน ก่อนจะถูกโอนถ่ายไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่ตามลำดับ
เจ้าหน้าที่จึงเร่งสืบหารวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำพยานบุคคลต่าง ๆ กว่า 30 คน รวมไปถึงข้อมูลบัญชีธนาคารผู้รับส่วย ,บัญชีม้า,บัญชีผู้จ่ายส่วย ภาพถ่ายกล้องวงจรปิด,ธนาคาร, กล้องโทรศัพท์มือถือของพยาน ขออำนาจศาลออกหมายจับจนนำมาสู่การตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และ จ.เพชรบูรณ์ พร้อมนำตัวเข้าตรวจค้นห้องทำงานที่ ด่านบางประอิน และ ด่านวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา